ลู่วิ่ง ยี่ห้อไหนดี 2020
การออกกำลังกายถือว่าเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ดีและปลอดภัยที่สุด ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้น แต่ละคนอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน บางคนอาจวิ่งจ็อกกิ้ง บางคนอาจว่ายน้ำ แต่บางคนอาจเลือกวิธีการออกกำลังกายด้วยเครื่องออกกำลังกายอย่างลู่วิ่งไฟฟ้า เนื่องจากประหยัดเวลาและสามารถทำได้ทันทีที่บ้าน แต่ถึงแม้จะมีข้อดี การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้ก็จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับผู้ใช้จึงจะมีความปลอดภัย ลู่วิ่งไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ใช้ไฟฟ้า ที่มีขนาดใหญ่ และค่อนข้างมีราคา จึงมีหลักการเลือกซื้อสำคัญอยู่หลายประการ การเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าสักเครื่อง ไว้ใช้งานที่บ้าน จึงเป็นคำตอบสำหรับหลายๆคน ที่ต้องการวิ่งออกกำลังกายในทุกๆวัน แม้วันฝนตก งานเยอะ ก็สามารถกลับมาวิ่งออกกำลังกายบนลู่วิ่งไฟฟ้าที่บ้านได้ทุกวัน
1. มอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้า
กำลังของมอเตอร์ลู่วิ่งมีหน่วยเป็น แรงม้า (Horse Power หรือ HP) แรงม้ายิ่งเยอะ หมายถึงลู่วิ่งสามารถ รับน้ำหนักได้มากขึ้น ทำความเร็วสูงสุดได้มากขึ้น และ รองรับสายพานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งก็คือมีพื้นที่วิ่งที่มากขึ้น มอเตอร์ที่แรงม้าเยอะกว่าจึงดีกว่า โดยปกติแล้ว ลู่วิ่งที่ใช้ในบ้านที่เหมาะสมควรจะมีกำลังแรงม้าระหว่าง 1.5 – 3 .0 แรงม้า และเป็นมอเตอร์ชนิด DC ในขณะที่ถ้าซื้อเพื่อใช้ในฟิตเนส โรงยิม บริษัท ควรมีแรงม้าตั้งแต่ 4 แรงม้าขึ้นไป และเป็นมอเตอร์ AC
ชนิดของมอเตอร์ก็เป็นอีกเรื่องที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อลู่วิ่ง โดย มอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้า จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. มอเตอร์ DC เป็นมอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้ในบ้านปกติ
2. มอเตอร์ AC เป็นมอเตอร์ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้ในฟิตเนส โรงยิม หรือ กับคนที่ใช้งานหนักและวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ซึ่งจะดีกว่ามอเตอร์แบบ DC แต่ก็มีราคาแพงกว่ามากเช่นกัน
2. ขนาดสายพาน
ขนาดสายพานของลู่วิ่งยิ่งมีขนาดใหญ่ ก็หมายความว่าเราก็มีพื้นที่วิ่งมากขึ้น วิ่งได้สบายขึ้น ไม่อึดอัดเวลาวิ่ง โดยเราจะต้องดูทั้งความกว้างและความยาวของสายพาน ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ก็หมายถึงราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน พื้นที่วิ่งสัมพันธ์กับขนาดของผู้ใช้ หลายๆ คนจึงควรลองไปวิ่งดูก่อนตัดสินใจซื้อ สำหรับการใช้งานวิ่งปกติ เราควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีขนาดสายพานกว้างไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร และ ยาวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็นขนาดที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป
3. น้ำหนักที่รับได้
น้ำหนักสูงสุดที่ลู่วิ่งรับได้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูก่อนซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า เพราะถ้าผู้ใช้มีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักที่ลู่วิ่งรับได้ จะทำให้มอเตอร์และสายพานทำงานหนักกว่าที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ลู่วิ่งไฟฟ้ามีโอกาสชำรุดเสียหายได้ โดยปกติแล้วเราควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าที่รับน้ำหนักผู้ใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม
4. ความเร็วสูงสุด
ความเร็วสูงสุดที่ลู่วิ่งทำได้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ห้ามมองข้าม เพราะลู่วิ่งที่ทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า มักจะหมายถึงคุณภาพของมอเตอร์และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ดีกว่า และยังเกี่ยวข้องกับการใช้งานอีกด้วย เช่น แรกๆ ที่เราฝึกซ้อมวิ่ง เราอาจวิ่งได้ที่ความเร็วสูงสุดที่ 8 กม./ชม. เมื่อเราวิ่งนานๆ เข้า เราอาจจะทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 14 กม./ชม. แต่ถ้าลู่วิ่งที่เราซื้อมาสามารถทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 12 กม./ชม. ก็หมายความว่าเราไม่สามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มความสามารถของเรานั่นเอง โดยปกติแล้ว เราควรเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าที่ทำความเร็วได้สูงสุดไม่ต่ำกว่า 14 กม./ชม.
5. ความชัน
สำหรับคนที่คิดว่าจะเลือกลู่วิ่งไฟฟ้ามาใช้เดิน อาจจะไม่ต้องเลือกที่ชันมาก เพราะเอามาก็ไมได้ใช้งาน แต่สำหรับคนที่วิ่ง เพื่อซ้อม วิ่งเพื่อแข่ง เรื่องของความชัน เป็นสิ่งที่จะต้องนำมาพิจาณา เพื่อเสริมสร้างความแกร่งของร่างกาย เตรียมความพร้อม ความฟิตให้ถึงขีดสุด
6. ระบบลดแรงกระแทก
การวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งปกติ หรือ การวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า ก็มีแรงกระแทกต่อเข่าและข้อเท้าทั้งสิ้น เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่เข่าและข้อเท้าลู่วิ่งไฟฟ้าหลายๆ ตัวจึงพัฒนาเทคโนโลยีระบบลดแรงกระแทกออกมา ระบบลดแรงกระแทกที่ดีจะทำให้เราสามารถวิ่งได้ปลอดภัยขึ้น ป้องกันอาการบาดเจ็บ และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกซื้อลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกมากกว่ารุ่นที่ไม่มี
7. โปรแกรมวิ่ง
โดยปกติแล้ว ลู่วิ่งไฟฟ้าจะมีโปรแกรมวิ่งในตัวมาให้ 3-12 โปรแกรม เราสามารถเลือกฝึกตามโปรแกรมได้ โดยโปรแกรมวิ่งมักจะถูกออกแบบมาให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จึงเหมือนกับการที่เราพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ตามโปรแกรมวิ่ง นอกจากนี้ลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีราคาแพงรวมไปถึงลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีหน้าจอแบบสัมผัส หรือ Touch Screen จะสามารถให้เราสร้างโปรแกรมการวิ่งของเราเองได้ รวมถึงมีโปรแกรมการวิ่งหลากหลายตามวัตถุประสงค์อีกด้วย เช่น โปรแกรมวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก โปรแกรมวิ่งเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น ลู่วิ่งที่มีลูกเล่นของโปรแกรมการวิ่งที่หลากหลายจึงช่วยให้การวิ่งสนุกและท้าทายมากขึ้น
8. การพับเก็บ
การพับเก็บลู่วิ่งก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้ เพราะลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่และกินพื้นที่มาก ลู่วิ่งที่สามารถพับเก็บได้จะช่วยประหยัดพื้นที่ในส่วนนี้ได้
9. การจัดส่งและการติดตั้ง
ลู่วิ่ง เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก เรื่องการจัดส่งจึงเป็นสิ่งที่ลูกค้าหลายๆ คนต้องคำนึงถึง โดยส่วนมากแล้วราคาค่าการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ของลูกค้า ควรสอบถามให้ชัดเจนว่าร้านค้าจะจัดส่งให้ลูกค้าแบบใด มีบริการติดตั้งให้หรือไม่ และมีค่าใช้จ่ายด้านใดเพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า
10. การรับประกันและบริการหลังการขาย
การรับประกันเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องให้ความสนใจเมื่อจะซื่อลู่วิ่ง เพราะว่าสินค้าทุกชนิดมีโอกาสชำรุดเสียหายได้ เราต้องสอบถามให้แน่ใจในเรื่องนโยบายการรับประกันสินค้าของลู่วิ่งไฟฟ้าที่เราซื้อมาว่าเป็นอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วลู่วิ่งจะรับประกัน 1 ปี เฉพาะมอเตอร์รับประกัน 5 ปี